ReadyPlanet.com


ที่ดินเอาหลาว


http://www.konthamkhao.com/MamboLaiThaiGlobalV4.5.5_MySQL5/index.php?option=com_mamboboard&Itemid=81&func=view&catid=10&id=27#27


ผู้ตั้งกระทู้ เด็กตอง :: วันที่ลงประกาศ 2010-01-13 10:14:02


[1]

ความคิดเห็นที่ 2 (3112658)
โดนใจประโยคนี้มากเลยครับ กรมที่ดินไม่วางระเบียบปฏิบัติเลยสักอย่างเกี่ยวกับข้างเคียง เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติไปตามกฏหมายแล้ว การปฏิบัติก็สมบูรณ์ด้วยกฎหมาย" ดังนั้นการออกระเบียบวิธีปฏิบัติกรมควรคำนึงถึงหลักกฎหมายบังคับไว้แค่ใหนก็ควรวางไว้แค่นั้นไม่ควรจะขยาย แนวทางปฏิบัติให้เกิดความสับสนในความสำคัญระหว่างระเบียบกับกฏหมาย ผมขอเเยกเป็น2กรณีครับ 1กรณีสค1เขียนว่าทิศเหนือจดที่ว่างเปล่าเเต่ความจริงปัจุบันก็จดที่ว่าเปล่า ระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินเเห่งชาติฉบับที่ 12 ข้อ 10 กําหนดให้ที่ดินด้านหนึ่งด้านใดจดที่ป่าหรือที่รกร้างว่าเปล่าเเละระยะที่วัดได้เกินกว่าระยะที่ปรากฎในหลักฐานเเจ้งการตรอบครองให้ถือระยะที่ปรากฎในหลักฐานการเเจ้งการครอบครองเป็นหลักในการออกโฉนด ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินรายนี้ผู้ขอได้นําการรังวัดเกินระยะในสคมากเเละเดิมสคเเจ้งจดที่รกร้า งว่างเปล่าถึงด้านตือด้านทิศเหนือ ทิศใต้ เเละทฺศตะวันตก จึงเป็นเหตุให้เนื้อที่เกินหลักฐานสค1เดิมมากด้วยเเละผู้ขอไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่รังวัดกันระยะตามสค1 ฉะนั้น เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินเเห่งชาติฉบับที่พศจึงเห็นควรกันระยะตามสค1 2กรณีสค1เขียนว่าทิศเหนือจดที่ว่างเปล่าเเต่ความจริงปัจุบันมีการครอบครอง* กรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 7) ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2532) ว่าด้วยเงื่อนไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ข้อ 8 ในการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ถ้าปรากฏ ว่าที่ดินมีอาณาเขต ระยะของแนวเขตและที่ดินข้างเคียงทุกด้านถูกต้องตรงกับหลักฐาน [มีต่อหน้าถัดไป] มีอาณาเขต ระยะของแนวเขตและที่ดินข้างเคียงทุกด้านถูกต้องตรงกับหลักฐานการ แจ้งการครอบครอง เชื่อได้ว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่เนื้อที่ที่คำนวณได้แตกต่างกัน ให้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์ แล้วแต่ไม่เกินเนื้อที่ที่คำนวณได้ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า กรณีที่จะใช้บังคับมาตรา 59 ตรี ได้จะต้องปรากฏว่าผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และเนื้อที่ที่รังวัดใหม่แตกต่าง ไปจากเนื้อที่ตามใบแจ้งการครอบครองดังกล่าว และเมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59*(10) ซึ่งบัญญัติว่า ที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นการเฉพาะรายนั้น แม้ว่าเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตที่รัฐมนตรีประกาศเป็นเขตเดินสำรวจ รังวัดตามมาตรา 58*(11) ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินก็ยังขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือ รับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้ ดังนั้น เมื่อนำมาตรา 59 ตรี*(12) ซึ่งเป็นเรื่องการคำนวณเนื้อที่เพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์มา ใช้บังคับกับที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย ---------------------------------------------------------------- [ต่อจากเชิงอรรถที่ (9)] การแจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมาย ที่ดิน พ.ศ. 2497 เชื่อได้ว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่เนื้อที่ที่คำนวณได้แตกต่างไป จากเนื้อที่ตามหลักฐานการแจ้งการครองครองดังกล่าว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออก โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์แล้ว แต่ไม่เกินเนื้อที่ที่คำนวณได้ ในกรณีที่ระยะของแนวเขตที่ดินผิดพลาดคลาดเคลื่อน ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำ ประโยชน์แล้วเมื่อผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงได้ลงชื่อรับรองแนวเขตไว้เป็นการถูกต้อง ครบถ้วนทุกด้าน ปัญหาของเรื่องนี้ต้องใช้กรณีที่2ครับถึงจะถูกต้อง
ผู้แสดงความคิดเห็น ผ่านมาเห็น วันที่ตอบ 2010-01-31 03:16:56


ความคิดเห็นที่ 1 (3101054)
เกศินี ผู้รู้ข่วยอาป้าหนูด้วย - 26/12/2009 15:09 ขอความเห็นค่ะ ในสค1 ทิศเหนือจด ที่ดินว่างเปล่า ทิศใต้จด ที่ดินว่างเปล่า ทฺศตะวันออกจดนาย ไข่ ก ทิศตะวันตกจด ที่ดินว่างเปล่า ปัจุบันตาม (ข้อเท็จจริง) ช่างรังวัดได้รังวัดโดยเจ้าของที่ดินเเละเจ้าของที่ดินข้างเคียงบันทึกใน ทด16 บันทึกข้างเคียงเปลี่ยนเเปลง ทิศเหนือจด นส3ก ทิศใต้จด ที่มีการครอบครอง นายก ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทิศตะวันออกจด โฉนด ทิศตะวันตกจด ที่มีการครอบครอง นาย คไม่มีเอกสารสิทธิ์ มีการรับรองเเนวเขตทุกด้านเนื้อที่ในสค1มีเนื้อที่ 7 ไร่ ช่างรังวัดใหม่ได้ 12ไร่ 1งาน22ตารางวา ตามที่ได้ครอบครองเเละทําประโยชน์อยู่จริง สํานักงานที่ดินได้ออกประกาศครบ30วันไม่มีผู้ใดโต้เเย้งคัดค้านสิทธิในที่ดินเเต่อย่างใด เเละ คณะกรรมการตามกฏกระทรวง43(พศ2537) ได้ออกพิสูจน์เเล้ว สภาพที่ดินเป็นควนเขา ท๋าสวนผสม ปลูกทุเรียน สะตอ เดิมที่ดินเป็นสวนยางพารา ที่ดินอยู่นอกเขตป่าถาวร อยู่คาบเกี่ยวป่าสงวนเเห่งชาติ ป่าเขานาคเกิด ตณะกรรมการมีความเห็นว่าควรออกโฉนดให้ผู้ขอได้ทั้งเเปลง ต่อมามีหนังสือจากที่ดินจังหวัด มีความเห็นว่า ระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินเเห่งชาติฉบับที่ 12 ข้อ 10 กําหนดให้ที่ดินด้านหนึ่งด้านใดจดที่ป่าหรือที่รกร้างว่าเปล่าเเละระยะที่วัดได้เกินกว่าระยะที่ปรากฎในหล ักฐานเเจ้งการตรอบครองให้ถือระยะที่ปรากฎในหลักฐานการเเจ้งการครอบครองเป็นหลักในการออกโฉนด ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินรายนี้ผู้ขอได้นําการรังวัดเกินระยะในสคมากเเละเดิมสคเเจ้งจดที่รกร้า งว่างเปล่าถึงด้านตือด้านทิศเหนือ ทิศใต้ เเละทฺศตะวันตก จึงเป็นเหตุให้เนื้อที่เกินหลักฐานสค1เดิมมากด้วยเเละผู้ขอไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่รังวัดกันระยะตามสค1 ฉะนั้น เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินเเห่งชาติฉบับที่พศจึงเห็นควรกันระยะตามสค1 เเละเเจ้งให้ผู้ขอทราบ เพื่อให้โอกาศอุธรณ์คําสั่งต่อไป จึงเกิดคําถามว่าเเนวทางปฏิบัติว่าการออกโฉนดว่าจะ ขอถามความรู้ทางกฎหมายด้วยครับ ยึดเนื้อที่ตามสค1 หรือ ข้อเท็จจริง เพื่อเป็นเเนวทางในการปฏิบัติ ถ้ายึดตามสค1 ข้าพเจ้าได้เนื้อที่7ไร่ ถ้ายึดตามข้อเท็จจริงข้าพเจ้าได้12ไร่1งาน22ตารางวา ตอบ ตอบโดยอ้างถึง ทนายเกิดบนเกาะ ตอบ:ผู้รู้ข่วยอาป้าหนูด้วย - 28/12/2009 06:44 [color=#0000FF]ที่ลูกความผมติดป่าด้านเดียวเเต่ปัจุบันมีการครอบครองออกได้เกินมา2ไร่ยึดข้อเท็จจริง[/ size] ชักสนุกละซิคราวนี้เห็นนายกบอกมีมาตราฐานเดียวคนภูเก็ตตื่นได้เเล้วที่ดินปู่ย่าตายายให้มาต้องเหนื่อยยาก เเค่ใหนมีหลายเเปลงที่เกิดปัญหาคนภูเก็ตไม่ค่อยจะอยากมีปัญหากับที่ดินจึงยอมเท่าไหร่ก็เอากลัวออกโฉนดไม่ ได้เซ็นยินยอมด้วยความชํ้าใจเเต่ถ้าเรื่องที่เจ้าทุกข์ต่อสู้ในสืทธิของตนผมว่ามีเฮที่ออกโฉนดไปเเล้วเเละ ที่รอออกโฉนดซึ่งรอการปรับข้อกฎหมายอยู่ละมั่ง ดังนั้นการออกระเบียบวิธีปฏิบัติกรมควรคำนึงถึงหลักกฎหมายบังคับไว้แค่ใหนก็ควรวางไว้แค่นั้นไม่ควรจะขยาย แนวทางปฏิบัติให้เกิดความสับสนในความสำคัญระหว่างระเบียบกับกฏหมายระเบียบกรมที่ดินมีเเนวทางไว้เเล้ว ม.69ทวิ....ครอบครองไม่ตรงกับแผนที่หรือเนื้อที่.....ข้างเคียงรับรองเขตแล้ว.....เว้ณแต่เป็นการสมยอม... .เลี่ยงกฎหมาย...ข้างเคียงไม่ดำเนินการ.....และผู้ขอรับรอง.....ไม่รุกล้ำ.....และยินยอมให้แก้......การแ จ้งข้างเคียง.....กำหนดในกฎกระทรวง คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 7) ได้พิจารณา ปัญหาดังกล่าวโดยรับฟังคำชี้แจงของผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) แล้วเห็นว่า หลักเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดเนื้อที่เพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ในกรณีที่มีปัญหาว่าเนื้อที่ที่ทำการรังวัดใหม่แตกต่างไปจากเนื้อที่ตามใบแจ้งการครอบครอง ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 นั้น มาตรา 59 ตรี บัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้เท่าจำนวน เนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนด ซึ่งตาม ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2532) ว่าด้วยเงื่อนไข การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ข้อ 8*(9) กำหนดว่า ถ้าที่ดิน --------------------------------------------------------------- *(9) ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2532) ว่าด้วยเงื่อนไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ข้อ 8 ในการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ถ้าปรากฏ ว่าที่ดินมีอาณาเขต ระยะของแนวเขตและที่ดินข้างเคียงทุกด้านถูกต้องตรงกับหลักฐาน [มีต่อหน้าถัดไป] มีอาณาเขต ระยะของแนวเขตและที่ดินข้างเคียงทุกด้านถูกต้องตรงกับหลักฐานการ แจ้งการครอบครอง เชื่อได้ว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่เนื้อที่ที่คำนวณได้แตกต่างกัน ให้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์ แล้วแต่ไม่เกินเนื้อที่ที่คำนวณได้ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า กรณีที่จะใช้บังคับมาตรา 59 ตรี ได้จะต้องปรากฏว่าผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และเนื้อที่ที่รังวัดใหม่แตกต่าง ไปจากเนื้อที่ตามใบแจ้งการครอบครองดังกล่าว และเมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59*(10) ซึ่งบัญญัติว่า ที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นการเฉพาะรายนั้น แม้ว่าเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตที่รัฐมนตรีประกาศเป็นเขตเดินสำรวจ รังวัดตามมาตรา 58*(11) ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินก็ยังขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือ รับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้ ดังนั้น เมื่อนำมาตรา 59 ตรี*(12) ซึ่งเป็นเรื่องการคำนวณเนื้อที่เพื่อออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์มา ใช้บังคับกับที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย ---------------------------------------------------------------- [ต่อจากเชิงอรรถที่ (9)] การแจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมาย ที่ดิน พ.ศ. 2497 เชื่อได้ว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่เนื้อที่ที่คำนวณได้แตกต่างไป จากเนื้อที่ตามหลักฐานการแจ้งการครองครองดังกล่าว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออก โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำประโยชน์แล้ว แต่ไม่เกินเนื้อที่ที่คำนวณได้ ในกรณีที่ระยะของแนวเขตที่ดินผิดพลาดคลาดเคลื่อน ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เท่าจำนวนเนื้อที่ที่ได้ทำ ประโยชน์แล้วเมื่อผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงได้ลงชื่อรับรองแนวเขตไว้เป็นการถูกต้อง ครบถ้วนทุกด้าน ข่าว น่าจะนํามาปรับใช้ได้ “ความคิดเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้วเมื่อปี 2545 ถือว่าเป็นคำสั่งที่ต้องปฎิบัติตาม ถ้าไม่มีการดำเนินการตามความเห็นก็ย่อมที่จะมีความผิดทางวินัย ซึ่งในกรณีนี้แม้ว่านายวิชัย จะเกษียณอายุราชการในเดือนก.ย.นี้ ก็ควรจะต้องเร่งปฎิบัติตามความเห็นของกรมที่ดินอย่างเคร่งครัด หรือถ้านายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้ามาดำรงตำแหน่งก็ควรมีการดำเนินการเช่นกัน” นายวิรัตน์กล่าว นายวิรัตน์ กล่าวต่อว่า หากภายใน 2 สัปดาห์นี้ ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 25 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะได้ดำเนินการต่อไปนี้ คือ 1.ร้องทุกข์กล่าวโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 2.ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลโดยด่วนที่สุด ตามแนวทางของกรมที่ดินเสนอไว้ในหนังสือด่วนที่สุดที 0515/24988 ลว.1กันยายน 2552 และ 3.เสนอให้นายกฯมีคำสั่งดำเนินการทางวินัยปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่นร. 0601/908 ลว.1 เม.ย.2545 ขอพรจากพ่อท่านเเช่ม บารมีท้าวเทพ เเละสิ้งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงคุ้มครองคนจังหวัดภูเก็ต [/color] ตอบ ตอบโดยอ้างถึง นกน้อย ตอบ:ผู้รู้ข่วยอาป้าหนูด้วย - 29/12/2009 09:02 ผมว่าของคุณเกศินีมีการรับรองเขตทุกด้านก็ควรได้เต็มพื้นที่ถ้าเว้นระยะจะเว้นจากด้านใหนที่รกร้าง เพราะมีการครอบครองทุกค้าน ผมนึกไม่ออก ได้ข่าวว่าท่านผู้ว่าท่านมีความเข้าใจกฏหมายที่ดินเเละอดีตเป็นถึงรองอธิบดีกรมที่ดินน่าจะช่วยให้ความเป็ นธรรมได้ดีที่สุดยังไงเเจ้งข่าวที่ชมรมผู้สือข่าวจังหวัดภูเก็ตด้วยครับ ตอบ ตอบโดยอ้างถึง ปชชภูเก็ต ตอบ:ผู้รู้ข่วยอาป้าหนูด้วย - 29/12/2009 09:14 “ปชป.” จี้ปลัด มท.เพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอัลไพน์ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะแกนนำ 25 ส.ส. ที่ทำหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับกรณีโอนที่ดินธรณีสงฆ์เป็นหมู่บ้านและสนามกอล์ฟอัลไพน์ ว่า ขอเรียกร้องให้นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินธรณีสงฆ์แปลงหมู่บ้านและที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ตามพ.ร.บ.โอนท ี่ธรณีสงฆ์ตามมาตรา 34 แห่งพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ตามที่นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อธิบดีกรมที่ดินได้มีหนังสือไปถึงปลัดกระทรวงมหาดไทยมาแล้วถึง 3 ฉบับ นายวิรัตน์ กล่าวว่า หนังสือที่นายอนุวัฒน์ได้ทำถึงปลัดกระทรวงมหาดไทยไปแล้ว 3 ครั้งตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. 2552 วันที่ 8 ก.ค. 2552 และวันที่ 1 ก.ย. 2552 เพื่อให้พิจารณาดำเนินการทบทวนคำสั่งทางปกครองของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2545 ให้เป็นคำสั่งที่โมฆะ ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพทางกฎหมายของที่ดินดังกล่าว ที่เป็นที่ธรณีสงฆ์แต่อย่างใด “[color=#FFFF00]ความคิดเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้วเมื่อปี 2545 ถือว่าเป็นคำสั่งที่ต้องปฎิบัติตาม ถ้าไม่มีการดำเนินการตามความเห็นก็ย่อมที่จะมีความผิดทางวินัย ซึ่งในกรณีนี้แม้ว่านายวิชัย จะเกษียณอายุราชการในเดือนก.ย.นี้ ก็ควรจะต้องเร่งปฎิบัติตามความเห็นของกรมที่ดินอย่างเคร่งครัด หรือถ้านายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้ามาดำรงตำแหน่งก็ควรมีการดำเนินการเช่นกัน” นายวิรัตน์กล่าว นายวิรัตน์ กล่าวต่อว่า หากภายใน 2 สัปดาห์นี้ ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 25 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะได้ดำเนินการต่อไปนี้ คือ 1.ร้องทุกข์กล่าวโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 2.ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลโดยด่วนที่สุด ตามแนวทางของกรมที่ดินเสนอไว้ในหนังสือด่วนที่สุดที 0515/24988 ลว.1กันยายน 2552 และ 3.เสนอให้นายกฯมีคำสั่งดำเนินการทางวินัยปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่นร. 0601/908 ลว.1 เม.ย.2545[/color] เมื่อถามว่า การแสดงท่าทีกดดันกระทรวงหมาดไทยให้เร่งดำเนินการเรื่องนี้จะเป็นการสร้างรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ เพราะกระทรวงมหาดไทยอยู่ในความรับผิดชอบของพรรคภูมิใจไทย นายวิรัตน์ กล่าวว่า ไม่อยากให้เอาเรื่องความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลมาปนกับเรื่องการทำงานของส.ส.เพราะพวกเราทำตามหน้าที่แ ละกฎหมาย จึงคิดว่าเรื่องพรรคร่วมรัฐบาลไม่น่าจะเป็นปัญหา เมื่อถามว่ากรณีนี้จะมีโทษไปถึงนายยงยุทธ วิชัยดิษฐหรือไม่ นายวิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะพิจารณาวินิจฉัย แต่ส่วนตัวแล้ว เห็นว่าการดำเนินการต่างๆที่ผ่านมาชัดเจน ตนเชื่อว่าน่าจะมีความผิดด้วย ตอบ ตอบโดยอ้างถึง พรือโฉ้ ตอบ:ผู้รู้ข่วยอาป้าหนูด้วย - 29/12/2009 12:32 ตามคุณ นกน้อยครับ กินไม่ได้ ขี้ไม่ออกบอกผู้ว่าฯ ตอบ ตอบโดยอ้างถึง ช่างเเก่ ตอบ:ผู้รู้ข่วยอาป้าหนูด้วย - 30/12/2009 12:09 ถาม - อยากทราบคำว่า เสียรังวัด ในความหมายขณะอยู่ในสถานการณ์ต่างๆเช่น นักมวยฝ่ายแดงเตะก้านคอฝ่ายน้ำเงินอย่างจัง คนพากษ์มวยจะบอกว่า ฝ่ายน้ำเงินเสียรังวัดไปเลย มันหมายความว่าอย่างไรครับ? ตอบ - ความหมายตามราชบัณฑิตยสถาน เสียรังวัด ก. พลอยได้รับผิดด้วยในเหตุที่เกิดขึ้นเพราะตนไม่ช่วยเหลือหรือห้ามปราม , พลอยเสียหายไปด้วย (คัดลอกมาจากกระทู้ ภาษา [/size]"สำรวจ"วันละคำ)[/size][/color][/size][/color] ตอบ ตอบโดยอ้างถึง โลมา โต้คลื่น ตอบ:ผู้รู้ข่วยอาป้าหนูด้วย - 01/01/2010 18:53 ความดีชนะทุกสิ่ง 1.การรังวัด โดยไม่ผ่านกระบวนการทางที่ดิน หรือ รังวัดนอกรายการ ขณะเต้น หูตาต้องไว มีการโยกตัว กลอกหน้าตา หลอกล่อคู่ต่อสู้ เมื่อได้จังหวะก็กระโดดเข้าใส่ เอานมเหวี่ยง ฟาดนมคู่ต่อสู้ (อาจจะเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการ ตีเก้ง "การทำงาน"ในสาย" สิ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือ "จงทำงาน เพื่อ งาน" พยายามอย่าทำงานให้ผิด ก็พอ.... ขอขอบคุณกระคานข่าวของคนทําข่าวดอทคอมที่ให้โอกาศประชาชนได้บอกเล่าความทุกข์ที่มองไม่เห็นทางเพื่อบางเวล าจะมีหนทางให้คลายทุกข์ ตอบ ตอบโดยอ้างถึง วส2 ตอบ:ผู้รู้ข่วยอาป้าหนูด้วย - 07/01/2010 12:58 "หากกรมที่ดินไม่วางระเบียบปฏิบัติเลยสักอย่างเกี่ยวกับข้างเคียง เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติไปตามกฏหมายแล้ว การปฏิบัติก็สมบูรณ์ด้วยกฎหมาย" ดังนั้นการออกระเบียบวิธีปฏิบัติกรมควรคำนึงถึงหลักกฎหมายบังคับไว้แค่ใหนก็ควรวางไว้แค่นั้นไม่ควรจะขยาย แนวทางปฏิบัติให้เกิดความสับสนในความสำคัญระหว่างระเบียบกับกฏหมาย ตอบ ตอบโดยอ้างถึง วสใต้ ตอบ:ผู้รู้ข่วยอาป้าหนูด้วย - 07/01/2010 14:38 "หากกรมที่ดินไม่วางระเบียบปฏิบัติเลยสักอย่างเกี่ยวกับข้างเคียง เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติไปตามกฏหมายแล้ว การปฏิบัติก็สมบูรณ์ด้วยกฎหมาย" ดังนั้นการออกระเบียบวิธีปฏิบัติกรมควรคำนึงถึงหลักกฎหมายบังคับไว้แค่ใหนก็ควรวางไว้แค่นั้นไม่ควรจะขยาย แนวทางปฏิบัติให้เกิดความสับสนในความสำคัญระหว่างระเบียบกับกฏหมาย ตอบ ตอบโดยอ้างถึง นาม ตอบ:ผู้รู้ข่วยอาป้าหนูด้วย - 07/01/2010 15:11 มาตรา 3 แห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง บัญญัติไว้ว่า "วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามกฎหมายต่างๆให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายใดกำหนดวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ และมีหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการไม่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระรา ชบัญญัตินี้ ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้งที่กำหนดในกฎหมาย" ในกรณีที่คุณถามมา แม้ในมาตรา 3 จะกำหนดไว้ว่าให้ใช้หลักเกณฑ์ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองหากหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานในการปฏ ิบัติราชการตามกฎหมายเฉพาะต่ำกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่คุณถามมานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งผมเห็นว่าต้องเป็นไปตามมาตรา 3 วรรค 2 ที่ยกเว้นสำหรับกรณีขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้ง ดังนั้น กรณีดังกล่าวผมจึงเห็นว่าไม่ต้องอุทธรณ์ต่อผู้ออกคำสั่งและสามารถนำมาฟ้องศาลปกครองได้เลยครับ เพราะเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 3
ผู้แสดงความคิดเห็น เด็กตอง วันที่ตอบ 2010-01-13 10:20:44



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล